ถอดรหัสการเปลี่ยนแปลงของภาคอุตสาหกรรมไอทีจากเมกะเทรนด์ Digital Transformation และ Smart City

อะไรคือความหมายที่แท้จริงของ Digital Transformation และ Smart City เมกะเทรนด์เหล่านี้จะส่งผลต่อสังคมอย่างไร และที่สำคัญที่สุดคือประเทศไทยมีความพร้อมแค่ไหนกับเมกะเทรนด์ดังกล่าว นายเอ็ดวิน เดียนเดอร์ หัวหน้าคณะผู้บริหารฝ่าย Digital Transformation และรองประธานธุรกิจภาครัฐกลุ่มธุรกิจเอ็นเตอร์ไพรส์ บริษัท Huawei Technology ได้ให้ข้อมูลไว้ในโอกาสที่มาร่วมเวทีงาน Digital Thailand Big Bang 2019 ในหัวข้อ “องค์ความรู้อันก้าวหน้า – รากฐานของโลกดิจิทัล” เพื่อถอดรหัสว่าภาพรวมของอุตสาหกรรมไอซีทีของไทยและของโลกจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรในอนาคตอันใกล้นี้

อะไรคือ “Digital Transformation”

Digital Transformation ไม่ใช่แพลตฟอร์มไอที แต่คือเมกะเทรนด์ที่เป็นแนวคิด เป็นไอเดียที่จะช่วยให้องค์กร รัฐบาล หรือแม้แต่ประเทศยกระดับมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับตัวเองได้ หากมองภาพรวมของอุตสาหกรรมต่างๆ ในปัจจุบันนี้ เราจะเห็นว่ามีองค์กรจำนวนไม่น้อยที่แรกเริ่มไม่ได้มาจากธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับด้านดิจิทัล แต่ผันตัวเองมาเป็นบริษัทด้านดิจิทัลในภายหลัง ตัวอย่างที่ชัดเจนก็คือ บริษัท Huawei ที่หลังจากการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล บริษัทมีบุคลากรเพิ่มขึ้นมากกว่า 16,000 คนภายในเวลาไม่ถึง 5 ปี ซึ่งเรื่องนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากบริษัทไม่ตอบรับกับเทรนด์ Digital Transformation

ข้อมูลจากไอดีซีระบุว่า การลงทุนด้าน Digital Transformation ทั่วโลกจะมีมูลค่ากว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ ภายในปี 2563 แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่านั้นคือผลตอบแทนที่ได้รับจากการลงทุนด้านดิจิทัล โดยเราพบว่าหากประเทศหนึ่งๆ ใช้เม็ดเงินเพียง 0.2% จากการลงทุนทั้งหมดมาทุ่มให้กับการลงทุนด้านดิจิทัล ประเทศนั้นๆ จะมีค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) สูงขึ้นถึง 2% ภายในปีเดียวกันกับที่เกิดการใช้เม็ดเงินลงทุนดังกล่าวเลยทีเดียว   

“Smart City” เกี่ยวข้องกับ Digital Transformation อย่างไร

Smart City ไม่ใช่แค่ผลิตภัณฑ์ชิ้นหนึ่ง แต่เป็นส่วนหนึ่งของ Digital Transformation และยังเป็นตัวผลักดันสำคัญสำหรับการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล ช่วยยกระดับให้เมืองต่างๆ มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงขึ้น ซึ่งการบูรณาการของเทคโนโลยีไอซีที ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น IoT (Internet of Things) คลาวด์ คอมพิวติ้ง บิ๊ก-ดาต้า คอมพิวเตอร์และสมาร์ทโฟน จะเชื่อมต่อทุกองค์ประกอบในเมืองเข้าด้วยกัน เพื่อการบริหารจัดการที่เป็นระบบ โดยเราสามารถนำโมเดลมาสโลว์ (Maslow’s Model) มาปรับใช้กับความต้องการดิจิทัลขั้นพื้นฐานเพื่อ Smart City ได้ตามลำดับขั้น ดังนี้

  • ขั้นล่างสุด คือโครงสร้างพื้นฐานไอซีทีทั้งหมด ได้แก่ ดาต้าเซ็นเตอร์ เทคโนโลยีออนไลน์อย่าง 5G, Wi-Fi หากเมืองไหนยังขาดโครงสร้างพื้นฐานตรงจุดนี้ก็ยังไม่สามารถไปต่อได้
  • ขั้นที่สอง คือความปลอดภัยทางด้านไอที เช่น การควบคุมบริการต่างๆ ทางไอทีให้ได้มาตรฐาน ระบบควบคุมคำสั่งสถานการณ์ฉุกเฉินของเมือง
  • ขั้นที่สาม คือบริการดิจิทัลรูปแบบต่างๆ เช่น E-government (รัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์), ระบบจราจรดิจิทัล และระบบการศึกษาดิจิทัล เพื่อช่วยรองรับและพัฒนาการเปลี่ยนผ่านดิจิทัลของทุกอุตสาหกรรมให้ดียิ่งขึ้น
  • ขั้นสูงสุด คือ ความชาญฉลาดทางดิจิทัล ซึ่งเปรียบเสมือนสมองและระบบประสาทของ Smart City ได้แก่ แพลตฟอร์ม intelligent operations centers (IOCs) การตรวจตราแบบเรียลไทม์ และแปรข้อมูลเป็นภาพเพื่อวิเคราะห์และดูแลจัดการเมือง

นอกจาก Smart City จะช่วยภาครัฐยกระดับประสิทธิภาพการบริหารจัดการเมืองแล้ว ยังช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของพลเมืองที่ดีขึ้น รวมถึงพัฒนาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ให้แก่กลุ่มธุรกิจ และช่วยให้เมืองหรือประเทศนั้นๆ บรรลุเป้าหมายทางเศรษฐกิจที่ตั้งเอาไว้ได้

ประเทศไทยมีความพร้อมแค่ไหนสำหรับการตอบรับเทรนด์ Digital Transformation

รัฐบาลไทยเดินไปค่อนข้างไกลแล้วในด้าน Digital Transformation เนื่องจากภาครัฐได้ริเริ่มก้าวสำคัญด้วยการประกาศกลยุทธ์ที่เน้นการผลักดันด้านดิจิทัลเมื่อ 2 ปีก่อน (ไทยแลนด์ 4.0) ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีการพัฒนาด้านดิจิทัลที่รวดเร็วและครอบคลุมในทุกอุตสาหกรรม รัฐบาลไทยยังมีเป้าหมายอย่างชัดเจนในการมุ่งเน้นเรื่อง Digital Transformation ในภาคการศึกษา ภาคสาธารณสุข และภาคการท่องเที่ยวก่อนเป็นอันดับแรก ซึ่งเป้าหมายที่ชัดเจน

มีผลเป็นอย่างยิ่งที่จะช่วยให้ประเทศตอบรับเทรนด์ Digital Transformation ได้รวดเร็วขึ้น

สิ่งที่รัฐบาลไทยต้องทำต่อจากนี้ก็คือยึดตามยุทธศาสตร์ที่วางไว้ ก้าวต่อไปคือการวางจุดยืนประเทศให้ชัดเจนว่าจะเดินหน้าไปในทิศทางใด รวมถึงการวางบทบาทด้านความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านว่าประเทศไทยจะเป็น Smart Nation ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือเป็นศูนย์กลางของ Smart Region ในภูมิภาคนี้เลย

อะไรคือความท้าทายหลักของการปรับตัวเพื่อรับเทรนด์ Digital Transformation

หากให้ยกตัวอย่างของประเทศไทย ประเทศนี้มีโครงสร้างพื้นฐานทั้งด้านเทคโนโลยี ระบบ และบริการที่พร้อมอยู่แล้วในทุกภาคอุตสาหกรรม ความท้าทายคือต้องทำอย่างไรถึงจะทำให้ระบบการทำงานที่แยกส่วนกันแบบไซโล (Silo) ที่มีรุ่น มีภาษา มีอายุการใช้งานต่างกัน สามารถเชื่อมต่อและทำงานร่วมกันแบบองค์รวมได้ เพื่อตอบรับกับเทรนด์ Digital Transformationได้อย่างสมบูรณ์ ถือเป็นความท้าทายที่ทุกประเทศต้องเผชิญ ซึ่งหนึ่งในวิธีที่ง่ายที่สุดก็คือการล้ม

ทุกอย่างทิ้งแล้วเริ่มใหม่ตั้งแต่ศูนย์ แต่เป็นวิธีที่ไม่คุ้มค่ากับสิ่งที่ต้องเสียไปและไม่สามารถนำไปใช้ในเชิงปฏิบัติได้ ดังนั้นแพลตฟอร์ม Smart Cityที่สามารถเชื่อมไซโลเหล่านี้เข้าด้วยกัน และสามารถทำให้ไซโลติดต่อสื่อสารกันได้จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

Huawei จะเข้ามาช่วยปรับตัวด้าน Digital Transformation ได้อย่างไร

จุดเด่นของแพลตฟอร์ม Smart City ของ Huawei คือ เทคโนโลยีของเราสามารถเป็นตัวประสานที่จะเชื่อมโยงทุกไซโลที่แตกต่างกันและอยู่กันแยกส่วนนั้น ให้มาทำงานร่วมกันเป็นระบบเดียวได้ แม้แต่ละไซโลจะใช้ภาษาในการสื่อสารแตกต่างกันก็ตาม นอกจากนี้การที่ Huawei มีเทคโนโลยีที่หลากหลายยังช่วยให้เรามีความยืดหยุ่น รองรับได้ตั้งแต่โปรเจกต์ขนาดเล็กของภาคเอกชนไปจนถึงโปรเจกต์ขนาดใหญ่ที่ต้องทำงานร่วมกับภาครัฐ โดยมีราคาต้นทุนที่คุ้มค่าต่อการลงทุน

ปัจจุบัน Huawei ได้ริเริ่มดำเนินงานกับภาครัฐและกระทรวงต่างๆ โดยแพลตฟอร์มของ Huawei มีความยืดหยุ่น สามารถปรับเปลี่ยนให้เข้ากับความต้องการ และปรับตามงบประมาณด้านการลงทุนได้ โดย Huawei ยังคงมุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมโซลูชั่นต่างๆ เพื่อร่วมขับเคลื่อนประเทศไทยให้บรรลุเป้าหมายตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 และส่งมอบเทคโนโลยีดิจิทัลให้แก่คนไทยทุกคน ทุกครัวเรือนและทุกองค์กร เพื่อให้ทุกภาคส่วนสามารถเชื่อมต่อถึงกันได้อย่างไร้รอยต่อในอนาคตอันใกล้

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

เจซีแอนด์โค” ร่วมมือ “ฮาห์ม พาร์ทเนอร์” เปิดกลยุทธ์เสริมแกร่ง แบรนด์เกาหลีสู่ไทยและตลาด APAC

รู้จัก “One Asia Communications” การรวมตัวจาก บ.พีอาร์กว่า 10 ชาติในเอเชีย เสริมแกร่งงานสื่อสารข้ามประเทศ สร้างการเข้าถึงตลาด APAC ได้อย่างไร้รอยต่อ...

Responsive image

ส.อ.ท. จับมือ ม.มหิดล ลงนามความร่วมมือ ดันเกษตรอัจฉริยะ โครงการ SAI

สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และมหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมลงนามในข้อตกลงความร่วมมือ “โครงการนวัตกรรมต้นแบบ Smart Agriculture Industry (SAI) เพื่อการเรียนรู้และบ่มเพาะแนวทางเกษตรอ...

Responsive image

Grab เปิดตัว GrabExecutive หลังบริการเรียกรถพรีเมียมโต 50% พร้อมดึง VATANIKA ดีไซน์ชุดเครื่องแบบคนขับ

แกร็บเปิดตัว GrabExecutive บริการเรียกรถหรูระดับพรีเมียม โตแรง 50% เจาะตลาดนักธุรกิจ-นักท่องเที่ยวไฮเอนด์ พร้อมบริการสุดเอ็กซ์คลูซีฟ รถหรู-คนขับมืออาชีพ-ดีไซน์ยูนิฟอร์มโดย VATANIKA...