SCBS CIO มองสัปดาห์นี้ (19 – 23 เม.ย. 64) ตลาดหุ้นทั่งโลกยังผันผวน แนะจับตาประเด็นวัคซีน - ผลการประชุมธนาคารกลางยุโรป

SCBS CIO มองสัปดาห์นี้ (19 – 23 เม.ย. 64) ตลาดหุ้นทั่วโลกยังผันผวน แนะจับตาประเด็นวัคซีน - ผลการประชุมธนาคารกลางยุโรป

วิเคราะห์เจาะลึกประเด็นการลงทุนประจำสัปดาห์ วันที่ 19 – 23 เม.ย. 2564

ในสัปดาห์ที่ผ่านมา (12 - 16 เม.ย.) ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดบวก โดยดัชนีฯ ปรับลดลงช่วงต้นสัปดาห์ หลังสหรัฐฯ ระงับการใช้วัคซีนโควิด-19 ของ Johnson & Johnson (J&J) จากกรณีพบลิ่มเลือดอุดตัน อย่างไรก็ดี ดัชนีฯ ลดช่วงลบ และปิดบวก เนื่องจาก นักลงทุนขานรับผลประกอบการกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ที่ออกมาแข็งแกร่ง รวมทั้ง ขานรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ นอกจากนี้ ดัชนีฯ ยังได้แรงหนุนจากการที่ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ออกมาส่งสัญญาณผ่อนคลายนโยบายการเงินต่อ ตลาดหุ้นยุโรป ปรับเพิ่มขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 7 ติดต่อกัน เนื่องจาก นักลงทุนเชื่อมั่นว่า เศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังสหรัฐฯ และจีนเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ประกอบกับ นักวิเคราะห์คาดว่า ผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนในยุโรป ในไตรมาส 1/2021 จะขยายตัวแข็งแกร่ง ด้านตลาดหุ้นญี่ปุ่น ปรับลดลงเล็กน้อย จากความกังวลจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในญี่ปุ่นที่เพิ่มขึ้นมากกว่า 5,000 รายต่อวัน ซึ่งอาจทำให้ต้องยกเลิกการจัดโตเกียวโอลิมปิกในปีนี้ ส่วนตลาดหุ้นจีน (A-share) ปรับลดลงเช่นกัน โดยนักลงทุนกังวลประเด็นที่รัฐบาลจีนอาจออกนโยบายคุมเข้มทางการเงิน อย่างไรก็ดี ดัชนีฯ ลดช่วงลบ หลัง GDP จีน ในไตรมาส 1/2021 ขยายตัว 18.3%YoY ด้านตลาดหุ้นไทย ปรับลดลง หลังจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเพิ่มขึ้นมากกว่า 1,500 รายต่อวัน อย่างไรก็ดี หุ้นกลุ่มพลังงานที่กลับมาปรับเพิ่มขึ้น และการที่ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) แถลงยืนยันว่า ไม่มีเคอร์ฟิวและ lockdown ได้ช่วยประคองดัชนีฯ ไว้ สำหรับราคาน้ำมันดิบ ปรับเพิ่มขึ้นอย่างมาก หลังจากโอเปกได้ปรับเพิ่มคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันดิบตลาดโลกในปีนี้ และได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปีนี้ประกอบกับ สต็อกน้ำมันดิบปรับลดลงมากกว่าคาด ส่วนราคาทองคำ ปิดบวก ตามอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ที่ปรับลดลง อยู่ระดับต่ำสุดในรอบ 4 สัปดาห์ และจากความกังวลสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ-รัสเซีย รวมทั้ง การที่เงินดอลลาร์ สหรัฐฯ อ่อนค่าลงเทียบสกุลเงินหลัก

มุมมองของเราในสัปดาห์นี้

ในสัปดาห์นี้ ตลาดหุ้นส่วนใหญ่มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น แต่เคลื่อนไหวผันผวน โดยตลาดหุ้นยังคงได้รับอานิสงส์ จากความคาดหวังในการออกมาตรการกระตุ้นทางการคลังรอบใหม่ หลังวุฒิสภาสหรัฐฯ ได้เปลี่ยนกระบวนการผ่านกฏหมายเป็นแบบ Reconciliation ได้มากกว่า 1 ครั้งใน 1 ปีงบประมาณ ส่งผลให้พรรคเดโมแครตสามารถผลักแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประธานาธิบดีไบเดน โดยไม่จำเป็นต้องได้รับเสียงสนับสนุนจากพรรครีพับลิกันในขั้นวุฒิสภา รวมทั้ง จากความคืบหน้าการพัฒนา และแจกจ่ายวัคซีนโควิด-19 ในสหรัฐฯ หลัง Duke Global Health Innovation Center ได้ประเมินว่า ภายในสิ้นเดือน ก.ค.นี้ สหรัฐฯ จะมีวัคซีนโควิด-19 เหลือใช้อย่างน้อย 300 ล้านโดส หรือมากกว่านั้น นอกจากนี้ ตลาดฯ ยังได้แรงหนุนจากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่มีแนวโน้มออกมาดี โดย Consensus คาดว่า กำไรต่อหุ้นของบริษัทจดทะเบียนสหรัฐฯ และยุโรป ในไตรมาส 1/2021 จะขยายตัว 24.2% และ 47.4% ตามลำดับ

อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ-จีน รวมทั้ง สหรัฐฯ-รัสเซีย ที่มีแนวโน้มทวีความรุนแรงขึ้น ประกอบกับนักลงทุนบางส่วนมีแนวโน้มระมัดระวังการซื้อขาย เพื่อรอติดตามถ้อยแถลงของประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) ว่าจะกล่าวถึงการเร่งเข้าซื้อตราสารหนี้ ตามโครงการ Pandemic Emergency Purchase Programme (PEPP) ตั้งแต่ต้นเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา หรือไม่ รวมทั้ง นักลงทุนยังรอติดตาม การตัดสินใจของสหรัฐฯ ว่าจะกลับมาใช้วัคซีนของ J&J หรือไม่ ภายในวันศุกร์นี้ โดยประเด็นข้างต้นเหล่านี้ จะยังสร้างความผันผวน และอาจกดดันตลาดหุ้นโดยรวมให้ปรับเพิ่มขึ้นอย่างจำกัด

เหตุการณ์สำคัญ (KEY EVENTS)

  • แนวโน้มการออกมาตรการกระตุ้นทางการคลังของสหรัฐฯ โดยประธานาธิบดีไบเดนกำลังผลักดันแผน เพื่อแก้ปัญหาชิปคอมพิวเตอร์ขาดตลาด ผ่านแผนลงทุนโครงสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐาน ซึ่งทางทำเนียบขาวเสนอให้ใช้งบประมาณ 50,000 ล้านดอลลาร์ สหรัฐฯ ในการวิจัยพัฒนา และเพิ่มศักยภาพของอุตสาหกรรมชิปคอมพิวเตอร์ในสหรัฐฯ ด้านทีมงานเฉพาะกิจของทำเนียบขาวที่รับผิดชอบดูแลการระบาดของโควิด-19 ยังได้ประกาศแผนลงทุนมูลค่า 1,700 ล้านดอลลาร์ สหรัฐฯ เพื่อรับมือภัยคุกคามจากโควิด-19
  • ติดตามผลการประชุม ECB (22 เม.ย.) โดยคาดว่า ที่ประชุมฯ จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0% และคงวงเงินในการเข้าซื้อตราสารหนี้ ตามโครงการ PEPP วงเงิน 7.5 แสนล้านยูโรตามเดิม แต่ให้จับตาถ้อยแถลงของประธาน ECB เกี่ยวกับประเด็นการเร่งเข้าซื้อตราสารหนี้ ตามโครงการ PEPP ตั้งแต่ต้นเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา


  •  ติดตามการแพร่ระบาดของโควิด-19 และการใช้มาตรการ lockdown โดยฮ่องกงได้ประกาศระงับเที่ยวบินจากอินเดีย ปากีสถาน และฟิลิปปินส์ เป็นเวลา 14 วัน โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 20 เม.ย.นี้ ด้านฝรั่งเศสออกมาระบุว่า จะบังคับใช้มาตรการกักตัว 10 วัน สำหรับผู้ที่เดินทางมาจากอาร์เจนตินา บราซิล ชิลี และแอฟริกาใต้ ขณะที่ ญี่ปุ่นกล่าวว่า อาจยกเลิกการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกในระหว่างวันที่ 23 ก.ค.-8 ส.ค.นี้ หากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 เลวร้ายลง


  • ประเด็นเรื่องวัคซีนและยาต้านไวรัสโควิด-19 โดยน.พ.เบอร์ลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Pfizer ได้เปิดเผยว่า ประชาชนมีแนวโน้มที่จะต้องฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 ของ Pfizer-BioNTech โดสที่ 3 ภายในระยะเวลา 12 เดือน หลังจากฉีดวัคซีน 2 โดสแรกแล้ว ขณะที่ น.พ.ฟอซี ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อสหรัฐฯ คาดว่า สหรัฐฯ จะตัดสินใจว่าจะกลับมาใช้วัคซีนของ J&J หรือไม่ ภายในวันศุกร์นี้


  • ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และรัสเซีย โดยโฆษกทำเนียบเครมลินของรัสเซีย ได้กล่าวว่า รัสเซียจะประกาศขับนักการทูตสหรัฐฯ จำนวน 10 คนออกจากรัสเซียเพื่อตอบโต้การที่สหรัฐฯ ประกาศคว่ำบาตรรัสเซีย พร้อมกับขับไล่ทูตรัสเซีย 10 คนออกจากสหรัฐฯ โดยสหรัฐฯ อ้างว่า รัสเซียได้แทรกแซงการเลือกตั้ง และแฮกข้อมูลของสหรัฐฯ 


  •  ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีน โดยจีนได้เตือนสหรัฐฯ และญี่ปุ่นให้หยุดก้าวก่ายกิจการภายในของจีน และหยุดทำลายผลประโยชน์ของจีนในทันที หลังประธานาธิบดีไบเดน และนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ได้ตกลงที่จะขยายความร่วมมือด้านความมั่นคงในภูมิภาค ด้านเทคโนโลยี และด้านอื่นๆ โดยได้ให้คำมั่นสัญญาเพื่อเป็นพันธมิตรที่จะเผชิญกับความท้าทายต่างๆ ที่เกิดจากจีน


  • การประชุม Global Leaders' Climate Summit ผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ (22-23 เม.ย.) ซึ่งประธานาธิบดีไบเดน ได้เชิญประธานาธิบดี สี จิ้นผิง เข้าร่วมด้วย โดยการประชุมนี้จัดขึ้นเพื่อให้กลุ่มประเทศผู้นำโลกร่วมกันแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ ล่าสุด สหรัฐฯ-จีน ออกแถลงร่วม โดยระบุว่า ทั้ง 2 ประเทศ จะทำงานร่วมกัน และร่วมมือกับอีกหลายฝ่ายเพื่อยกระดับการปฏิบัติตามความตกลงปารีส


  • การทยอยรายงานผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 1/2021 เช่น Netflix, Abbott, J&J, Biogen, Procter & Gamble, Associated British Food, AT&T, Intel, Credit Suisse, American Airlines, American Express


  • ตัวเลขเศรษฐกิจ

สหรัฐฯ ยอดขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิต ยอดขายบ้านมือสอง และยอดขายบ้านใหม่

ยุโรป ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค และดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิต

เยอรมนี ดัชนีราคาผู้ผลิต และดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิต

อังกฤษ ดัชนีราคาผู้บริโภค ยอดค้าปลีก และดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิต

ญี่ปุ่น ดัชนีราคาผู้บริโภค และดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิต

ไทย ยอดส่งออก-ยอดนำเข้า และเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ



ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

เจซีแอนด์โค” ร่วมมือ “ฮาห์ม พาร์ทเนอร์” เปิดกลยุทธ์เสริมแกร่ง แบรนด์เกาหลีสู่ไทยและตลาด APAC

รู้จัก “One Asia Communications” การรวมตัวจาก บ.พีอาร์กว่า 10 ชาติในเอเชีย เสริมแกร่งงานสื่อสารข้ามประเทศ สร้างการเข้าถึงตลาด APAC ได้อย่างไร้รอยต่อ...

Responsive image

ส.อ.ท. จับมือ ม.มหิดล ลงนามความร่วมมือ ดันเกษตรอัจฉริยะ โครงการ SAI

สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และมหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมลงนามในข้อตกลงความร่วมมือ “โครงการนวัตกรรมต้นแบบ Smart Agriculture Industry (SAI) เพื่อการเรียนรู้และบ่มเพาะแนวทางเกษตรอ...

Responsive image

Grab เปิดตัว GrabExecutive หลังบริการเรียกรถพรีเมียมโต 50% พร้อมดึง VATANIKA ดีไซน์ชุดเครื่องแบบคนขับ

แกร็บเปิดตัว GrabExecutive บริการเรียกรถหรูระดับพรีเมียม โตแรง 50% เจาะตลาดนักธุรกิจ-นักท่องเที่ยวไฮเอนด์ พร้อมบริการสุดเอ็กซ์คลูซีฟ รถหรู-คนขับมืออาชีพ-ดีไซน์ยูนิฟอร์มโดย VATANIKA...