ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ ปี 2008 หลายบริษัทเลือกที่จะลดขนาดองค์กร ปลดพนักงาน และตัดงบประมาณเพื่อลดความเสี่ยง แต่ Steve Jobs ผู้ร่วมก่อตั้ง Apple กลับสวนกระแส ด้วยแนวคิดที่ว่า “จะเดินหน้าลงทุน แทนการปรับโครงสร้างองค์กร”
Steve Jobs เคยให้สัมภาษณ์กับ Fortune ในปี 2008 เอาไว้ว่า:
ผมบอกกับทีมว่า เราจะไม่ปลดใครออก เพราะเราทุ่มเทอย่างมากในการดึงคนเก่งเข้ามาทำงานที่ Apple การปลดพนักงานจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่ผมจะเลือกทำ
เขายังกล่าวเสริมว่า “เราจะเพิ่มงบวิจัยและพัฒนา เพื่อให้นำหน้าคู่แข่งเมื่อวิกฤตจบลง” กลยุทธ์นี้ไม่ได้เป็นแค่คำพูด เพราะหลังวิกฤต Dot-Com ในปี 2000 Apple ได้เปิดตัว iTunes ในปี 2003 ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่เปลี่ยนโลกไปเลย
ขณะที่ดัชนี Nasdaq-100 ใช้เวลาเกือบ 15 ปีกว่าจะกลับไปถึงจุดสูงสุดเดิม แต่ Apple กลับเปิดตัว iPhone และ App Store และกลายเป็นผู้นำในยุคสมาร์ตโฟนอย่างเต็มตัว และหลังวิกฤตการเงินปี 2008 ผ่านไปเพียง 2 ปี Apple ก็เปิดตัว iPad ซึ่งเป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับวงการแท็บเล็ต
จากการศึกษาของ Harvard Business Review พบว่า มีเพียง 9% ของบริษัทที่สามารถเติบโตอย่างโดดเด่นหลังจากเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอย โดยบริษัทเหล่านี้มักจะเป็นผู้ที่เลือกลงทุนในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจถดถอย ซึ่ง Apple ถือเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของกลยุทธ์นี้
แม้ในปัจจุบัน Apple จะเป็นบริษัทระดับโลกที่มีมูลค่ามหาศาล แต่ก็ยังคงเผชิญความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในช่วงสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน เมื่อครั้งประธานาธิบดี Donald Trump ขู่จะเพิ่มภาษีสินค้านำเข้าจากจีนถึง 125% ส่งผลต่อบริษัทที่ผลิตสินค้าในจีนเป็นหลักอย่าง Apple ข้อมูลจาก Wedbush ระบุว่า Apple ผลิต iPhone ถึง 90%, iPad ราว 75%-80% และ Mac กว่า 50% ในประเทศจีน ซึ่งความเปราะบางในห่วงโซ่อุปทานเช่นนี้ ทำให้ Apple ต้องวางแผนรับมืออย่างรอบคอบ
อ้างอิง: finance
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด