หยวนดิจิทัล (e-CNY) เขย่าบัลลังก์ดอลลาร์? ปฏิวัติการชำระเงินข้ามแดนใน 7 วิ ท้าชน SWIFT

โลกการเงินกำลังเผชิญการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เมื่อธนาคารกลางแห่งประเทศจีน (People's Bank of China) ได้ประกาศเปิดตัวระบบชำระเงินข้ามพรมแดนด้วยเงินหยวนดิจิทัล (Digital RMB หรือ e-CNY) อย่างเต็มรูปแบบ เชื่อมต่อกับ 10 ชาติอาเซียน และ 6 ประเทศในตะวันออกกลางอย่างสมบูรณ์แล้ว

ความเคลื่อนไหวนี้ส่งผลสะเทือนรากฐานระบบการเงินโลกอย่างแท้จริง เนื่องจากเปิดทางให้ปริมาณการค้าโลกเกือบ 38% สามารถทำธุรกรรมได้โดยไม่ต้องผ่านเครือข่าย SWIFT ที่ถูกควบคุมโดยสหรัฐอเมริกา ซึ่งถูกขนานนามปรากฏการณ์นี้ว่าเป็น "ศึกหน้าด่าน Bretton Woods 2.0" (Bretton Woods 2.0 Outpost Battle)

e-CNY

หยวนดิจิทัล (e-CNY) คืออะไร?

หยวนดิจิทัล หรือ e-CNY (Electronic Chinese Yuan) คือ สกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลางของจีน (Central Bank Digital Currency - CBDC) พูดง่ายๆ คือเป็นเงินหยวนในรูปแบบดิจิทัลที่ออกและรับรองโดยธนาคารประชาชนจีน (PBOC) โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อ:

  1. ทดแทนเงินสดบางส่วน: เป็นอีกทางเลือกนอกเหนือจากธนบัตรและเหรียญกษาปณ์
  2. เพิ่มประสิทธิภาพของระบบการชำระเงิน: ทำให้การทำธุรกรรมรวดเร็วขึ้น ลดต้นทุน และสะดวกสบายยิ่งขึ้น
  3. สนับสนุนการเป็นสากลของเงินหยวน (RMB Internationalization): อำนวยความสะดวกในการใช้เงินหยวนในการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ
  4. เพิ่มความสามารถในการกำกับดูแล: ช่วยให้ธนาคารกลางสามารถติดตามและจัดการระบบการเงินได้ดีขึ้น รวมถึงป้องกันอาชญากรรมทางการเงิน

พลิกโฉมความเร็วและค่าธรรมเนียม

นัยสำคัญของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้คือประสิทธิภาพที่เหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่ระบบ SWIFT แบบดั้งเดิมอาจใช้เวลา 3-5 วันในการชำระเงินข้ามพรมแดน แต่ "สะพานสกุลเงินดิจิทัล" (Digital Currency Bridge) ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชนของจีน สามารถย่นระยะเวลาลงเหลือเพียง 7 วินาทีเท่านั้น!

ในการทดลองครั้งสำคัญระหว่างฮ่องกงและอาบูดาบี การชำระเงินที่เคยต้องผ่านธนาคารตัวกลางถึง 6 แห่ง กลับสำเร็จได้แทบจะทันทีผ่านบัญชีแยกประเภทแบบกระจายศูนย์ (distributed ledger) พร้อมกับค่าธรรมเนียมที่ลดลงอย่างน่าทึ่งถึง 98% ความสามารถในการ "จ่ายเงินสายฟ้าแลบ" นี้ ทำให้ระบบชำระเงินแบบเดิมที่ดอลลาร์เป็นใหญ่ดูเสียเวลาไปในทันที

เทคโนโลยีล้ำหน้าและความปลอดภัย

สิ่งที่ทำให้ชาติตะวันตกจับตามองอย่างใกล้ชิดยิ่งกว่าความเร็ว คือปราการทางเทคโนโลยี (Technological Moat) ของสกุลเงินดิจิทัลจีน บล็อกเชนที่ใช้ในหยวนดิจิทัลไม่เพียงทำให้ธุรกรรมสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้อย่างโปร่งใส แต่ยังบังคับใช้กฎเกณฑ์ต่อต้านการฟอกเงิน (Anti-Money Laundering - AML) โดยอัตโนมัติผ่านสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contracts)

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือโครงการ Two Countries, Two Parks ระหว่างจีนและอินโดนีเซีย ซึ่งธนาคาร Industrial Bank ใช้หยวนดิจิทัลในการชำระเงินข้ามพรมแดนครั้งแรก โดยใช้เวลาเพียง 8 วินาทีตั้งแต่การยืนยันคำสั่งซื้อจนถึงเงินเข้าบัญชีปลายทาง เพิ่มประสิทธิภาพมากกว่าวิธีดั้งเดิมถึง 100 เท่า ข้อได้เปรียบทางเทคนิคนี้ดึงดูดให้ธนาคารกลาง 23 แห่งทั่วโลกเข้าร่วมทดสอบระบบ Digital Currency Bridge โดยเฉพาะกลุ่มผู้ค้ายักษ์ใหญ่ด้านพลังงานในตะวันออกกลางที่สามารถลดต้นทุนการชำระเงินได้ถึง 75%

"De-dollarization" ไม่ใช่แค่ทฤษฎี แต่กำลังเกิดขึ้นจริง    

ผลกระทบเชิงลึกของการปฏิวัติทางเทคโนโลยีนี้คือการสร้างอำนาจอธิปไตยทางการเงินขึ้นมาใหม่ ข้อมูลชี้ว่า ปริมาณการชำระเงินด้วยหยวนข้ามพรมแดนของกลุ่มประเทศอาเซียนพุ่งสูงกว่า 5.8 ล้านล้านหยวนในปี 2024 เพิ่มขึ้นถึง 120% จากปี 2021 ประเทศอย่างมาเลเซีย สิงคโปร์ และไทย ได้เริ่มนำเงินหยวนเข้าเป็นส่วนหนึ่งของทุนสำรองเงินตราต่างประเทศแล้ว และประเทศไทยได้มีการชำระค่าซื้อขายน้ำมันด้วยหยวนดิจิทัลเป็นครั้งแรกเป็นที่เรียบร้อย กระแส "การลดการพึ่งพิงดอลลาร์" (De-dollarization) นี้ ทำให้ธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ (Bank for International Settlements - BIS) ถึงกับกล่าวว่า "จีนกำลังกำหนดกติกาของเกมในยุคสกุลเงินดิจิทัล"

ยุทธศาสตร์ "เส้นทางสายไหมดิจิทัล"

สิ่งที่น่าทึ่งยิ่งกว่าคือภาพรวมยุทธศาสตร์ของจีน หยวนดิจิทัลไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือชำระเงิน แต่เป็นส่วนสำคัญของยุทธศาสตร์ "หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง" (Belt and Road Initiative - BRI) โดยมีการผสานหยวนดิจิทัลเข้ากับระบบนำทางด้วยดาวเทียมเป่ยโต่ว (Beidou) และการสื่อสารควอนตัม เพื่อสร้าง "เส้นทางสายไหมดิจิทัล" (Digital Silk Road) แห่งอนาคต ตั้งแต่การค้าน้ำมันในไทย ไปจนถึงการชำระค่าขนส่งสินค้าในเส้นทางอาร์กติกโดยผู้ผลิตรถยนต์ยุโรป จีนกำลังใช้บล็อกเชนเป็นเครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพทางการค้าได้ถึง 400%

อนาคตการเงินโลกที่กำลังจะเปลี่ยนไป?

ปัจจุบัน มีรายงานว่าเครือข่ายหยวนดิจิทัลได้ขยายครอบคลุมกว่า 200 ประเทศทั่วโลก และรองรับการชำระเงินข้ามพรมแดนไปแล้วกว่า 1.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่สหรัฐอเมริกายังคงถกเถียงว่าสกุลเงินดอลลาร์ดิจิทัลจะส่งผลกระทบต่อสถานะของดอลลาร์หรือไม่ จีนก็ได้สร้างเครือข่ายการชำระเงินดิจิทัลขึ้นมาอย่างเงียบๆ แล้ว

การปฏิวัติทางการเงินแบบเงียบๆ นี้ ไม่ใช่แค่เรื่องของธุรกรรม แต่เป็นเรื่องของอำนาจในการควบคุมเส้นเลือดใหญ่ทางเศรษฐกิจของโลกในอนาคต ยุคที่ดอลลาร์ครองความเป็นเจ้ากำลังถูกท้าทายอย่างแท้จริง และหยวนดิจิทัลคือหัวหอกของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้

โลกกำลังหมุนไปสู่ทิศทางใด?

การขยายตัวอย่างรวดเร็วของหยวนดิจิทัลและการยอมรับที่เพิ่มขึ้นในหลายภูมิภาคทั่วโลก กำลังส่งสัญญาณถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในภูมิทัศน์การเงินโลก คำถามที่น่าคิดคือ สิ่งนี้จะส่งผลกระทบต่อสถานะของเงินดอลลาร์สหรัฐในระยะยาวอย่างไร? ระบบการเงินโลกใหม่จะมีหน้าตาแบบไหน? และธุรกิจต่างๆ รวมถึงประเทศไทย ควรเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่อาจพลิกโฉมกติกาการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศนี้อย่างไรบ้าง? อนาคตยังคงเป็นเรื่องที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด

อ้างอิง the420

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

OpenAI Academy คอร์สเรียน AI ฟรีจากผู้สร้าง ChatGPT เรียนรู้ตั้งแต่เบสิกยันระดับโปร

ก่อนหน้านี้ OpenAI ผู้พัฒนา ChatGPT ได้เปิดตัว OpenAI Academy แพลตฟอร์มการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะด้าน AI เพื่อให้ทุกคนสามารถเรียนรู้ และปรับตัวให้เข้ากับวิธีการทำงานใหม่ๆ ร่วมกับ A...

Responsive image

ทำความรู้จักโครงการ Low Carbon City หนุนผู้ประกอบการเปลี่ยนผ่านสู่ 'อุตสาหกรรมคาร์บอนต่ำ'

สรุปจากงานสัมมนา CEO Forum : Industrial Decarbonization under Thailand's Low Carbon City Program ที่มีทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และ World Bank มาเผยแนวทางสนับสนุนให้ลดการปล่อยคาร์บอนในภา...

Responsive image

อว. ก้าวล้ำ! เปิดตัว AI ตรวจสอบหลักสูตรมหาวิทยาลัย ยกระดับมาตรฐาน รวดเร็ว แม่นยำ

กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กำลังก้าวสู่มิติใหม่ของการประกันคุณภาพการศึกษา ประกาศนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาช่วยในกระบวนการตรวจสอบมาตรฐานหลักสูต...