KKday ประกาศการระดมทุนระดับซีรีส์ B+ นำโดย LINE Ventures และ Alibaba

KKday หนึ่งในแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซทัวร์และกิจกรรมท่องเที่ยวชั้นนำของเอเชีย ประกาศการระดมทุนซีรีส์ B+ ซึ่งรอบนี้นำโดย LINE Venture และ Alibaba Entrepreneurs Fund โดยผู้ลงทุนรายเก่าอย่าง CDIB Capital และ Monk’s Hill Ventures ก็มีส่วนร่วมในการลงทุนครั้งนี้เช่นเดียวกัน การระดมทุนเชิงกลยุทธ์ครั้งนี้ช่วยให้ KKday ไปถึงเป้าหมายที่จะยกระดับนวัตกรรมเทคโนโลยีการจองประสบการณ์ท่องเที่ยวและการขยายสู่ตลาดใหม่ทั่วโลกได้เร็วขึ้น

KKday เปิดตัวในปี 2015 และได้ขยายตัวธุรกิจและการนำเสนอสินค้าอย่างต่อเนื่องรวมกว่า 20,000 กิจกรรม ในกว่า 500 เมืองและ 80 ประเทศทั่วโลก จากการระดมทุนในครั้งที่แล้ว ซึ่งได้บริษัทท่องเที่ยวยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นอย่าง H.I.S. มาร่วมลงทุน KKday ได้กระชับความสัมพันธ์ กับนักลงทุนเชิงกลยุทธ์เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้รับประสบการณ์การเดินทางที่น่าประทับใจ

การระดมทุนรอบใหม่นี้ที่นำโดย LINE Ventures แสดงให้เห็นถึงมุมมองใหม่ของวิธีการลงทุนในเชิงกลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง ในฐานะของหนึ่งในบริษัทเทคโนโลยีและแอพพลิเคชั่นสนทนาชั้นนำของโลก LINE Corporation ให้บริการผู้ใช้งานด้วยแพลตฟอร์มที่รวบรวมบริการต่างๆ ที่อำนวยความสะดวกให้กับชีวิตประจำวัน เช่น การชำระเงินผ่านมือถือ, การค้าปลีก, และการออกอากาศข่าว

ทั้งสองบริษัทจะเริ่มต้นความร่วมมือเป็นครั้งแรกในปลายเดือนนี้ที่ไต้หวัน ด้วยการเปิดตัว “LINE Travel” บริการแอพครบวงจรที่ให้ผู้ใช้สามารถค้นหาและจองตั๋วเครื่องบิน, โรงแรม, ทัวร์, และกิจกรรมต่างๆ รวมถึงวางแผนและแบ่งปันแผนการท่องเที่ยวกับเพื่อนๆ

“ตลาดการจองประสบการณ์ท่องเที่ยวของเอเชียเติบโตอย่างรวดเร็วเนื่องจาการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค” นายมาซาโตะ เอ็นโดะ (Masato Endo) ผู้อำนวยการด้านการลงทุนจาก LINE Ventures กล่าว “KKday ถือเป็นหนึ่งในบริษัทผู้นำของการเติบโตธุรกิจสตาร์ทอัพ ที่มี CEO ที่ประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องในอุตสาหรรมท่องเที่ยวออนไลน์ พร้อมทั้งทีมผู้บริหารและสมาชิกทีมจำนวนมากที่ยังอายุน้อยและมีความทะเยอทะยาน ด้วยความมุ่งมั่นอย่างไม่ลดละที่จะสร้างประสบการณ์ความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้าของ KKday ผมมั่นใจว่า KKday มีศักยภาพที่จะเป็นแพลตฟอร์มการจองทัวร์และกิจกรรมท่องเที่ยวอันดับหนึ่งของเอเชีย ได้”

นายเฉิน หมิงหมิง (Chen Ming-ming) ผู้ก่อตั้งและ CEO, KKday กล่าวว่า “การลงทุนและการร่วมมือกับ LINE เป็นการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด ไม่ใช่แค่สำหรับ KKday แต่สำหรับทั้งอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เรามุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนประสบการณ์ท่องเที่ยวเข้าสู่โลกดิจิทัล เราตื่นเต้นมากที่จะได้ทำงานร่วมกับ LINE เพื่อสร้างประสบการณ์ท่องเที่ยวที่น่าประทับใจสำหรับนักเดินทางท่องเที่ยวทั่วโลก” ทาง KKday ยังบอกอีกว่า เร็ว ๆนี้จะมีแผนการร่วมมือกับ LINE ที่กำลังจะเปิดตัว ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างการดำเนินการ

ช่วงต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา KKday ประกาศว่าได้รับการลงทุนจาก Alibaba Entrepreneurs Fund และเปิดตัว Flagship Store บน Fliggy แพลตฟอร์มท่องเที่ยวของ Alibaba Group ในประเทศจีน ภายในระยะเวลาไม่ถึง 4 เดือน อาลีบาบาเห็นถึงการเติบโตอย่างรวดเร็วของธุรกิจและศักยภาพที่ดีของบริษัท จึงร่วมเพิ่มการลงทุนใน KKday

“ตั้งแต่เราเริ่มลงทุนในเดือนกรกฎาคม KKday ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการทำงานที่แข็งแกร่งในตลาดที่แตกต่างกันและแสดงให้เห็นถึงการเติบโตแบบทวีคูณ” นายแอนดริว ลี (Andrew Lee) Executive Director จาก อาลีบาบา กล่าว “เป้าหมายการขยายตลาดไปทั่วโลกของ KKday สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของอาลีบาบา และเรารู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ร่วมเดินทางกับพวกเขาและเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กันในอนาคต”

ด้วยเงินลงทุนครั้งล่าสุดนี้ KKday ตั้งเป้าหมายการเติบโตในญี่ปุ่น, จีน, และเกาหลี และขยายไปสู่ตลาดใหม่ในยุโรป, ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์, และอเมริกา โดยทาง KKday ขอไม่เปิดเผยรายละเอียดการลงทุน

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

รู้จัก o3 และ o4-mini โมเดล AI เชิงเหตุผลรุ่นใหม่จาก OpenAI

รู้จัก o3 และ o4-mini จาก OpenAI โมเดล AI reasoning รุ่นล่าสุด คิดเป็นระบบ เข้าใจภาพ และตอบแม่นยำกว่าเดิม ก่อนถึงยุค GPT-5...

Responsive image

สมาคม VC ทั่วอาเซียน จับมือ เปิดตัว "Maturation Map" ชูมาตรฐานธรรมาภิบาลสตาร์ทอัพระดับภูมิภาค

คู่มือ "Maturation Map" กำหนดมาตรฐานใหม่ด้านการกำกับดูแลกิจการที่ดี (Good Governance) ของสตาร์ทอัพ ส่งสัญญาณความร่วมมือครั้งสำคัญ เพื่อสร้างความเชื่อมั่น ความโปร่งใส และคุณค่าระยะย...

Responsive image

สหรัฐฯ สั่ง Nvidia ต้องมีใบอนุญาตก่อนส่งออกชิป H20 ไปจีน

Nvidia ถูกสหรัฐฯ บังคับใช้ใบอนุญาตส่งออกชิป H20 ไปจีน หลังพบความเสี่ยงด้านความมั่นคง ส่งผลหุ้นร่วง 6% และอาจเสียค่าใช้จ่ายสูงถึง 5.5 พันล้านดอลลาร์ในปี 2026...