ACE เดินหน้าวิจัยและพัฒนาพืชพลังงานต่อเนื่อง หลังควบคุมต้นทุนการผลิตดีทำกำไรปี 2563 โต New High

บริษัท แอ๊บโซลูท คลีน เอ็นเนอร์จี้ จำกัด(มหาชน) หรือ ACE ผู้นำด้านธุรกิจพลังงานสะอาดของไทย ได้เปิดเผยผลการดำเนินงานปี 2563 ซึ่งมีการเติบโตสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยมีกำไรสุทธิ 1,508 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 85% จากปีก่อนหน้าที่มีกำไรสุทธิ 815 ล้านบาท เนื่องมาจากการที่กลุ่มบริษัทฯ สามารถเดินเครื่องโรงไฟฟ้าได้อย่างต่อเนื่องยาวนานเต็มประสิทธิภาพ สามารถบริหารและควบคุมต้นทุนต่างๆ ได้ดีเยี่ยมจนทำให้โรงไฟฟ้าทุกประเภทมีอัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้กลุ่มบริษัทฯ ยังมีการบริหารต้นทุนทางการเงินที่ทำได้ดีอย่างต่อเนื่อง 

ACE

สำหรับการบริหารจัดการต้นทุนได้ดีนั้น คุณธีรวุฒิ ทรงเมตตา กรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มงานเทคโนโลยีและนวัตกรรม ได้กล่าวกับ Techsauce ว่า สำหรับส่วนที่เป็นโรงไฟฟ้าไบโอแมส บริษัทได้มีการวิจัยและพัฒนาเชื้อเพลิงที่นำมาใช้ในการผลิตพลังงานอย่างต่อเนื่อง เช่น ที่ผ่านมาได้มีการทดลองใช้เปลือกผลไม้เข้ามาเป็นหนึ่งในเชื้อเพลิงผลิตพลังงาน รวมไปถึงบริษัทยังได้มีการกระจายแหล่ง supplier ของพืชพลังงานให้มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น เพื่อที่จะลดความเสี่ยงที่ราคาต้นทุนของพืชพลังงานจะปรับตัวสูงขึ้น อีกทั้งในขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างวิจัยพืชพลังงานชนิดใหม่ 2 ชนิด ได้แก่ หญ้าสาทร และหญ้าเลา (ชื่อของพืชจากการวิจัยของ ACE) ซึ่งคาดว่าปลายปีนี้จะสามารถนำออกมาให้เกษตรกรทดลองปลูกได้

พร้อมกันนี้ในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2564 บริษัทเตรียมที่จะนำโดรนเข้ามาช่วยวิเคราะห์พืชผลให้กับเกษตรกรที่ปลูกพืชพลังงานเหล่านี้ส่งให้กับบริษัท ส่วนโรงไฟฟ้าขยะ บริษัทได้มีการนำเทคโนโลยีอย่าง IoT เข้ามาใช้เพื่อให้ระบบภายในโรงไฟฟ้าสามารถที่จะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงขึ้นด้วยเช่นกัน

ACE

นอกจากการควบคุมต้นทุนการผลิตได้ดีแล้ว บริษัทยังได้มีการรับรู้รายได้เต็มงวดของโครงการต่างๆ ที่เพิ่ง COD ไปเมื่อปลายปีที่แล้ว การรับรู้รายได้บางส่วนของโครงการใหม่ๆ ที่คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จและ COD ได้ทันภายในปีนี้ การทยอยลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ของโครงการโรงไฟฟ้าต่างๆ ที่อยู่ในมือ อาทิ โครงการโรงไฟฟ้า SPP Hybrid อีก 3 โครงการ กำลังการผลิตติดตั้งรวม 73 เมกะวัตต์ โครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล VSPP อีก 11 โครงการ กำลังการผลิตติดตั้งรวม 108.9 เมกะวัตต์ ที่อยู่ระหว่างดำเนินการตามขั้นตอนและมีความคืบหน้าเป็นที่น่าพอใจ รวมถึงโอกาสการได้มาซึ่งโครงการใหม่ๆ จากการที่ภาครัฐมีแผนที่จะเปิดประมูลโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนนำร่อง 150 เมกะวัตต์ และโครงการโรงไฟฟ้าขยะชุมชน 400 เมกะวัตต์ ซึ่ง ACE ก็มีความพร้อมเต็มที่ในการเข้าร่วมประมูลในส่วนนี้ 

ปัจจุบัน กลุ่มบริษัท ACE มีโรงไฟฟ้าที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) แล้วกำลังการผลิตติดตั้งรวม 245.91 เมกะวัตต์ (ข้อมูล ณ 31 ธันวาคม 2563) และมีกำลังการผลิตติดตั้งที่อยู่ระหว่างการพัฒนาอีก 203.66 เมกะวัตต์ รวมเป็นกำลังการผลิตติดตั้ง 449.57 เมกะวัตต์ ด้วยความพร้อมในด้านต่างๆ ที่มีซึ่งรวมกันเป็นความได้เปรียบในการแข่งขันของ ACE ไม่ว่าจะเป็นความพร้อมด้านเชื้อเพลิงชีวมวลที่มี Supply Chain ที่เข้มแข็งตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ความพร้อมด้านเทคโนโลยีและการออกแบบโรงไฟฟ้าที่เป็นต้นแบบของโลก ความพร้อมด้านการเดินเครื่องจักรและการซ่อมบำรุงเครื่องจักรโรงไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ และความพร้อมด้านการเงินและแหล่งเงินทุนที่จะนำมาใช้ในการขยายธุรกิจ ACE จึงมุ่งมั่นที่จะสร้างความเติบโตให้กิจการและเพิ่มกำลังการผลิตติดตั้งของโรงไฟฟ้าด้วยการเข้าร่วมประมูลโครงการโรงไฟฟ้าต่างๆ และการเจรจาซื้อกิจการโรงไฟฟ้าต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศอีกเป็นจำนวนมากอย่างต่อเนื่องในอนาคต เพื่อขับเคลื่อนให้ ACE บรรลุเป้าหมายการเพิ่มกำลังการผลิตติดตั้งให้ได้มากกว่า 1,000 เมกะวัตต์ ภายในปี 2567


Sign in to read unlimited free articles

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

ทำความรู้จักโครงการ Low Carbon City หนุนผู้ประกอบการเปลี่ยนผ่านสู่ 'อุตสาหกรรมคาร์บอนต่ำ'

สรุปจากงานสัมมนา CEO Forum : Industrial Decarbonization under Thailand's Low Carbon City Program ที่มีทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และ World Bank มาเผยแนวทางสนับสนุนให้ลดการปล่อยคาร์บอนในภา...

Responsive image

อว. ก้าวล้ำ! เปิดตัว AI ตรวจสอบหลักสูตรมหาวิทยาลัย ยกระดับมาตรฐาน รวดเร็ว แม่นยำ

กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กำลังก้าวสู่มิติใหม่ของการประกันคุณภาพการศึกษา ประกาศนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาช่วยในกระบวนการตรวจสอบมาตรฐานหลักสูต...

Responsive image

ศูนย์วิจัยกสิกรชี้ ส่งออกไทยอาจเสียหาย 4 แสนล้านบาท จากภาษีตอบโต้ 37%

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ออกบทวิเคราะห์ประเมินถึงสถานการณ์ที่สหรัฐญ ขึ้นภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) กับไทยในอัตรา 37% ซึ่งถือว่าสูงกว่าที่เคยประเมินไว้ที่ 25% ถือเป็นความเสี่ยงต่อเศร...